
คำสั่งพื้นฐานในการใช้งาน linux
การใช้งานคำสั่ง Linux พื้นฐาน: 15 คำสั่งพื้นฐาน
ระบบปฏิบัติการ Linux เป็นระบบที่ได้รับความนิยมสำหรับการจัดการเซิร์ฟเวอร์ การพัฒนาโปรแกรม และการใช้งานทั่วไปในลักษณะต่างๆ บทความนี้จะอธิบายคำสั่งพื้นฐานใน Linux จำนวน 15 คำสั่ง พร้อมตัวอย่างและคำอธิบายโดยละเอียด เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจการใช้งานคำสั่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นสำหรับการเตรียมความพร้อมในการใช้งาน linux ต่อไป หากเรามีความรู้ความเข้าใจในคำสั่งเหล่านี้แล้วจะทำให้การใช้งาน linux ในรูปแบบต่างๆ สามารถประยุกต์ใช้ ต่อยอดหรือเข้าถึงการทำงานได้เร็วขึ้น แน่นอนว่าปัจจุบัน
จุดเด่นในการใช้งานคำสั่ง Linux เมื่อเทียบกับแบบ GUI
1. ประสิทธิภาพและความเร็ว การใช้งาน CLI ช่วยลดเวลาในขั้นตอนการคลิกเมาส์หรือการนำทางผ่านหน้าต่างที่ซับซ้อนใน GUI ผู้ใช้สามารถดำเนินการหลายคำสั่งพร้อมกันได้ เช่น ใช้ shell scripts เพื่อทำงานอัตโนมัติในขั้นตอนที่ซับซ้อน ไม่ต้องรอโหลดกราฟิกและภาพ ทำให้เหมาะสำหรับเซิร์ฟเวอร์หรือระบบที่ต้องการความรวดเร็ว
2. การใช้งานทรัพยากรต่ำ CLI ใช้หน่วยความจำและซีพียูน้อยกว่า GUI เหมาะสำหรับการทำงานในเซิร์ฟเวอร์หรืออุปกรณ์ที่มีทรัพยากรจำกัด เช่น Raspberry Pi หรือเครื่องเสมือน (Virtual Machines)
3. การควบคุมที่แม่นยำและทรงพลัง ผู้ใช้ CLI สามารถควบคุมการทำงานได้อย่างละเอียด เช่น การกำหนดสิทธิ์ การจัดการไฟล์ และการตั้งค่าระบบ มีคำสั่งและเครื่องมือที่สามารถทำงานที่ GUI ทำไม่ได้ หรือซับซ้อนกว่าหากทำผ่าน GUI เช่น การตั้งค่าเครือข่ายขั้นสูง หรือการจัดการดิสก์
4. การทำงานระยะไกลที่สะดวก CLI ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเชื่อมต่อไปยังเครื่องระยะไกลได้ง่ายผ่านโปรโตคอลเช่น SSH โดยไม่จำเป็นต้องมีการแสดงผลกราฟิก เหมาะสำหรับการบริหารเซิร์ฟเวอร์หรือระบบคลาวด์
5. ความยืดหยุ่นและการปรับแต่ง ผู้ใช้ CLI สามารถปรับแต่งคำสั่งหรือสร้าง scripts เพื่อทำงานอัตโนมัติหรือทำงานแบบเฉพาะเจาะจงได้
CLI ยังมีความสามารถในการใช้ pipe (|
) และ redirect (>
, <
)
เพื่อต่อคำสั่งเข้าด้วยกันเพื่อประมวลผลข้อมูลได้หลากหลาย
6. ไม่พึ่งพาอินเตอร์เฟซกราฟิก ในระบบที่ไม่มี GUI (เช่น Linux Server หรือ Container) การใช้ CLI เป็นทางเลือกเดียว ลดปัญหาจากการแสดงผลที่ผิดพลาด เช่น ปัญหาความเข้ากันได้ของหน้าจอหรือไดรเวอร์กราฟิก
7. การทำงานแบบอัตโนมัติ CLI ช่วยให้สามารถใช้ Cron Jobs และ Automation Scripts ได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่าง: การแบ็กอัปข้อมูลทุกวัน หรือการส่งข้อมูลไปยังเซิร์ฟเวอร์อื่นแบบอัตโนมัติ
8. ความปลอดภัย CLI มีความปลอดภัยมากกว่าในหลายสถานการณ์ เพราะไม่มีอินเตอร์เฟซกราฟิกให้โจมตีผ่านช่องโหว่ การตั้งค่าระบบผ่าน CLI ช่วยลดโอกาสในการปรับค่าผิดพลาด เนื่องจากการกำหนดค่าแบบ GUI อาจปรับผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ
9. เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความซับซ้อน CLI มีคำสั่งเฉพาะทางมากมาย เช่น การค้นหาไฟล์ที่ซับซ้อนด้วยคำสั่ง find
,
การจัดการดิสก์ด้วย fdisk
, หรือการวิเคราะห์ระบบเครือข่ายด้วย tcpdump
10. เรียนรู้และเข้าใจระบบมากขึ้น การใช้ CLI ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจโครงสร้างและการทำงานของระบบ Linux ได้ดีขึ้น ช่วยเพิ่มทักษะการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาในเชิงลึก เช่น การตรวจสอบโปรเซส การดูล็อกไฟล์ หรือการจัดการไฟล์ระบบ
แม้ว่า GUI จะเหมาะสำหรับผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการอินเตอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและสะดวก แต่การใช้ CLI ใน Linux เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความเร็ว ความยืดหยุ่น และการควบคุมที่ลึกซึ้งกว่า โดยเฉพาะสำหรับนักพัฒนา ผู้ดูแลระบบ หรือผู้ที่ต้องการใช้งานระบบที่มีทรัพยากรจำกัด ดังนั้นในลำดับถัดไปจะเป็นการแสดงถึงคำสั่งพื้นฐานที่ใช้ในการทำงานเพื่อให้ผู้อ่านที่เข้ามาศึกษาเรียนรู้ได้ทราบถึง ชื่อคำสั่ง คำอธิบาย และตัวอย่าง.
0.sudo apt update
: แสดงรายการไฟล์และโฟลเดอร์
คำสั่ง sudo apt update คำสั่งที่ใช้ในการอัพเดทตัวระบบ linux สิ่งที่ควรทำเมื่อเริ่มการทำงานของระบบ linux เพื่อตรวจเช็คความเป็นปัจจุบันของของแพทต่างๆ รวมไปถึงระบบความปลอดภัยของระบบปฏิบัติการด้วย
update
ตัวอย่าง:
sudo apt update
-: คำสั่งที่ใช้ในการอัพเดทระบบปฏิบัติการ linux เพื่อให้รองรับกับการทำงานรวมกับ และการเพื่อให้โปรแกรมเป็นปัจจุบัน โดยพิมพ์คำสั่ง sudo apt update คำสั่งนี้ต้องมีการใช้งาน sudo เพื่ออ้างสิทธิ์ superuser และระบบจะถาม password เพื่อยืนยันและทำการอัพเดทต่อไป

1.ls
: แสดงรายการไฟล์และโฟลเดอร์
คำสั่ง ls ย่อมาจาก list ใช้สำหรับแสดงรายการไฟล์และโฟลเดอร์ในไดเรกทอรีปัจจุบัน
ls
ตัวอย่าง:
ls -l
– -l
: แสดงข้อมูลไฟล์ในรูปแบบรายละเอียด เช่น ขนาดไฟล์ วันที่แก้ไขล่าสุด และสิทธิ์การเข้าถึง

2.cd
: เปลี่ยนไดเรกทอรี
คำสั่ง cd ใช้สำหรับย้ายไปยังไดเรกทอรีที่ต้องการ
cd /path/to/directory
ตัวอย่าง:
cd /home/user/Documents
– cd ..
: ย้ายกลับไปยังไดเรกทอรีก่อนหน้า
– cd ~
: ย้ายไปยังโฮมไดเรกทอรี
หากผู้อ่านอยู่ตำแหน่ง ไดเรกเตอรีที่ลึกแล้วมีความต้องการที่จะกลับมายังตำแหน่ง home สามารถเรียกใช้งานคำสั่งเหล่านี้ได้

3.pwd
: แสดงตำแหน่งปัจจุบัน
คำสั่ง pwd จะแสดงตำแหน่งไดเรกทอรีปัจจุบันของคุณ
pwd

4. touch
: สร้างไฟล์ใหม่
คำสั่ง touch
ใช้สำหรับสร้างไฟล์ว่างๆ ในไดเรกทอรี หากผู้อ่านต้องการทดสอบการสร้างไฟล์ .text สามารถใช้งานคำสั่งนี้ได้ touch เป็นการสร้างไฟล์เท่านั้นยังไม่เข้าไปแก้ไขใดๆ
touch filename
ตัวอย่าง:
touch newfile.txt

5. mkdir
: สร้างโฟลเดอร์ใหม่
คำสั่ง mkdir
ใช้สำหรับสร้างโฟลเดอร์ใหม่
mkdir directory_name
ตัวอย่าง:
mkdir MyFolder
– ใช้ mkdir -p
เพื่อสร้างโฟลเดอร์หลายชั้นพร้อมกัน เช่น mkdir -p parent/child

6. rm
: ลบไฟล์และโฟลเดอร์
คำสั่ง rm
ใช้สำหรับลบไฟล์หรือโฟลเดอร์
rm filename
ตัวอย่าง:
rm oldfile.txt
rm -r MyFolder
– -r
: ใช้สำหรับลบโฟลเดอร์และเนื้อหาภายใน

7. cp
: คัดลอกไฟล์หรือโฟลเดอร์
คำสั่ง cp
ใช้สำหรับคัดลอกไฟล์หรือโฟลเดอร์
cp source destination
ตัวอย่าง:
cp file1.txt /home/user/backup/
cp -r Folder1 /home/user/backup/
– -r
: ใช้สำหรับคัดลอกโฟลเดอร์ทั้งหมด

8. mv
: ย้ายหรือเปลี่ยนชื่อไฟล์
คำสั่ง mv
ใช้สำหรับย้ายหรือเปลี่ยนชื่อไฟล์และโฟลเดอร์
mv source destination
ตัวอย่าง:
mv oldname.txt newname.txt
mv file.txt /home/user/Documents/

9. cat
: แสดงเนื้อหาไฟล์
คำสั่ง cat
ใช้สำหรับแสดงเนื้อหาไฟล์ในหน้าจอ
cat filename
ตัวอย่าง:
cat example.txt

10. nano
: แก้ไขไฟล์
คำสั่ง nano
ใช้สำหรับแก้ไขไฟล์ใน text editor ที่ใช้ง่ายใน command line
nano filename
ตัวอย่าง:
nano notes.txt
– -r
: ในตัวอย่างรูปที่แสดง จะเข้าถึงไฟล์ test1.text จะปรากฏข้อมูลที่เป็น text file : hi in my file ซึ่งในส่วนนี้เราสามารถเขียนข้อมูลลงไปได้

11. chmod
: เปลี่ยนสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์
คำสั่ง chmod
ใช้สำหรับเปลี่ยนสิทธิ์การเข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์
chmod permissions filename
ตัวอย่าง:
chmod 755 script.sh
– 755
: ให้ผู้ใช้สามารถอ่าน เขียน และรันไฟล์ได้ ส่วนคนอื่นสามารถอ่านและรันไฟล์ได้
12. chown
: เปลี่ยนเจ้าของไฟล์
คำสั่ง chown
ใช้สำหรับเปลี่ยนเจ้าของไฟล์หรือโฟลเดอร์
chown user:group filename
ตัวอย่าง:
chown user1:usergroup example.txt
13. ps
: ดูรายการโปรเซสที่กำลังทำงาน
คำสั่ง ps
ใช้สำหรับดูโปรเซสที่กำลังทำงานอยู่
ps
ตัวอย่าง:
ps aux
– aux
: แสดงข้อมูลโปรเซสทั้งหมดในระบบ
14. kill
: ยกเลิกโปรเซส
คำสั่ง kill
ใช้สำหรับยกเลิกโปรเซสที่กำลังทำงาน
kill PID
ตัวอย่าง:
kill 12345
– ใช้ ps
เพื่อหา PID (Process ID)
15. df
: ตรวจสอบพื้นที่ดิสก์
คำสั่ง df
ใช้สำหรับตรวจสอบพื้นที่ที่ใช้งานและว่างในดิสก์
df -h
ตัวอย่าง:
df -h
– -h
: แสดงผลในรูปแบบที่เข้าใจง่าย (Human-readable)
คำสั่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของคำสั่งพื้นฐานใน Linux ซึ่งมีการใช้งานที่ครอบคลุมและหลากหลาย หากคุณเป็นผู้เริ่มต้น ควรฝึกฝนการใช้งานคำสั่งเหล่านี้เพื่อทำความคุ้นเคยกับระบบ Linux และปรับใช้งานได้ตามความต้องการ หากผู้อ่านเพิ่มเริ่มใช้งาน linux ในแบบ text mode อาจจะมีความยุ่งยากในการใช้งานอยู่บ้างเมื่อเทียบกับการใช้งานแบบ GUI แต่หากผู้อ่านสามารถใช้งานคำสั่งเหล่านี้ได้จนชำนาญก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานขั้นสูงต่อไปได้.
วิธีการติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจ (Package) ใน Linux Ubuntu
ในการใช้งานระบบปฏิบัติการตระกูลลินุกซ์โดยเฉพาะ Ubuntu นั้น การติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจต่าง ๆ สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับลักษณะของแพ็กเกจ ความสะดวกของผู้ใช้ และนโยบายการจัดการแพ็กเกจของระบบ บทความนี้จะแนะนำวิธีการติดตั้งหลัก ๆ ที่นิยมใช้ใน Ubuntu ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
1. ติดตั้งผ่าน Ubuntu Software Center (GUI)
ถือเป็นวิธีที่ใช้ง่ายที่สุดสำหรับผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับการติดตั้งโปรแกรมผ่านหน้าจอกราฟิก (GUI) โดย Ubuntu Software Center จะเป็นศูนย์รวมของซอฟต์แวร์ที่ได้รับการรับรองจาก Ubuntu สามารถค้นหาโปรแกรม ติดตั้ง และอัปเดตได้ภายในที่เดียว
ขั้นตอนการติดตั้ง
- เปิดเมนู Activities (หรือกดปุ่ม Windows/Super) แล้วค้นหา “Ubuntu Software”
- เมื่อเปิดแล้ว สามารถค้นหาโปรแกรมที่ต้องการติดตั้งในช่องค้นหา
- คลิกโปรแกรมที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม Install
- ใส่รหัสผ่าน (ถ้าระบบร้องขอ) เพื่อยืนยันการติดตั้ง
- รอจนติดตั้งเสร็จสิ้น จากนั้นสามารถเปิดโปรแกรมได้ทันที
ข้อดี
- เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เพราะมีกราฟิกใช้งานง่าย
- มีการจัดการอัตโนมัติ เช่น อัปเดตเวอร์ชันแจ้งเตือนเมื่อโปรแกรมมีเวอร์ชันใหม่
ข้อจำกัด
- โปรแกรมบางตัวอาจยังไม่มีใน Ubuntu Software Center
- ต้องใช้เวลาในการอัปเดตข้อมูลโปรแกรม และการค้นหาบางครั้งอาจไม่พบแพ็กเกจที่ต้องการ
2. ติดตั้งผ่าน apt หรือ apt-get (Command Line)
การใช้คำสั่ง apt
(หรือ apt-get
) ผ่าน Terminal
เป็นวิธีมาตรฐานสำหรับผู้ใช้ Linux Ubuntu ที่ต้องการความยืดหยุ่นและควบคุมการติดตั้งได้ละเอียดมากขึ้น
คำสั่ง apt-get
มีมาก่อน ในขณะที่ apt
เป็นชุดคำสั่งที่ใหม่กว่าและใช้งานสะดวกขึ้นเล็กน้อย
ขั้นตอนการติดตั้ง
- เปิด Terminal (กด Ctrl + Alt + T)
- อัปเดตรายการแพ็กเกจด้วยคำสั่ง
sudo apt update
- ค้นหาแพ็กเกจที่ต้องการ (ตัวอย่าง ต้องการค้นหาแพ็กเกจชื่อ
vim
)apt search vim apt-cache search vim
- ติดตั้งแพ็กเกจที่ต้องการ
sudo apt install vim
- เมื่อระบบถามให้ใส่รหัสผ่านผู้ใช้ (Password) ให้ใส่รหัสผ่าน จากนั้นกด Enter
- รอจนการติดตั้งเสร็จสิ้น
ข้อดี
- สะดวกสำหรับการใช้งานบนเซิร์ฟเวอร์หรือผ่าน SSH
- สามารถใช้งานคำสั่งต่าง ๆ เพิ่มเติมเช่น
remove
,upgrade
,autoremove
เพื่อจัดการแพ็กเกจได้ง่าย
ข้อจำกัด
- ต้องใช้คำสั่งผ่าน Terminal ซึ่งมือใหม่อาจไม่คุ้นเคย
3. ติดตั้งแพ็กเกจด้วย dpkg (ไฟล์ .deb)
Ubuntu ใช้แพ็กเกจหลักเป็นไฟล์ .deb
(Debian package)
การใช้ dpkg
จะเหมาะกับการติดตั้งแพ็กเกจที่ดาวน์โหลดมาเป็นไฟล์ .deb
จากแหล่งอื่น ๆ ที่อยู่นอกคลังโปรแกรมหลัก (เช่น ดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ผู้พัฒนา)
ขั้นตอนการติดตั้ง
- ดาวน์โหลดไฟล์
.deb
ที่ต้องการจากเว็บไซต์ หรือแหล่งที่เชื่อถือได้ - เปิด Terminal แล้วเข้าไปยังโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์
.deb
cd /path/to/folder
- ติดตั้งแพ็กเกจด้วยคำสั่ง
sudo dpkg -i package_name.deb
- หากระบบแจ้งว่าแพ็กเกจที่ต้องการพึ่งพา (dependency) ยังไม่ถูกติดตั้ง ให้พิมพ์คำสั่งด้านล่างเพื่อแก้ไข
ระบบจะติดตั้งแพ็กเกจเสริมที่ขาดไปให้sudo apt install -f
ข้อดี
- เหมาะกับการติดตั้งโปรแกรมที่อยู่นอกคลัง Ubuntu
- ควบคุมเวอร์ชันที่จะติดตั้งได้เอง
ข้อจำกัด
- ต้องตรวจสอบ dependency ด้วยตัวเอง หรือใช้
apt install -f
เพื่อแก้ไข - มีความเสี่ยงหากไฟล์
.deb
ไม่ปลอดภัยหรือมาจากแหล่งไม่น่าเชื่อถือ
4. ติดตั้งผ่าน Snap
Snap เป็นระบบแพ็กเกจใหม่ที่ Canonical (บริษัทผู้อยู่เบื้องหลัง Ubuntu) พัฒนาขึ้น เพื่อให้การติดตั้งโปรแกรมเป็นแบบบรรจุแยก (containerized) มีความปลอดภัย และอัปเดตง่าย สามารถทำงานได้ข้ามเวอร์ชันของ Ubuntu
ขั้นตอนการติดตั้ง
- เปิด Terminal
- ค้นหาโปรแกรมที่ต้องการใน Snap store (ตัวอย่าง ต้องการติดตั้ง “
vlc
”)snap find vlc
- ติดตั้งโปรแกรมด้วยคำสั่ง
sudo snap install vlc
- รอการดาวน์โหลดและติดตั้งเสร็จสิ้น
ข้อดี
- โปรแกรมที่ติดตั้งผ่าน Snap จะถูกแพ็กมาครบ ไม่ต้องห่วง dependency
- การอัปเดตอัตโนมัติผ่าน Snap daemon
ข้อจำกัด
- ขนาดแพ็กเกจมักจะใหญ่กว่าแพ็กเกจแบบปกติ (เพราะถูกบรรจุมาอย่างครบถ้วน)
- บางโปรแกรมอาจยังไม่ปล่อยให้ใช้งานผ่าน Snap
5. ติดตั้งผ่าน Flatpak
Flatpak เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คล้ายกับ Snap คือแพ็กโปรแกรมให้เป็น sandboxed package ข้ามดิสโทร (Distribution) ได้เช่นกัน เหมาะสำหรับการแชร์แพ็กเกจระหว่างระบบที่หลากหลาย เช่น Ubuntu, Fedora, Debian เป็นต้น
ขั้นตอนการติดตั้ง
- ติดตั้ง Flatpak (หากยังไม่มี)
sudo apt update sudo apt install flatpak
- เพิ่ม Flathub (เป็นแหล่งรวมแอปหลักของ Flatpak)
sudo flatpak remote-add --if-not-exists flathub https://flathub.org/repo/flathub.flatpakrepo
- ค้นหาซอฟต์แวร์ที่ต้องการ (ตัวอย่าง “
vlc
”)flatpak search vlc
- ติดตั้งด้วยคำสั่ง
sudo flatpak install flathub org.videolan.VLC
-
เมื่อเสร็จแล้ว สามารถรันโปรแกรมจากเมนูหรือผ่านคำสั่ง (ชื่ออาจต่างกันตามโปรแกรม)
flatpak run org.videolan.VLC
ข้อดี
- แพ็กเกจมีการจัดการแบบ sandbox ทำให้ปลอดภัย
- ใช้ได้ข้ามดิสโทร ไม่จำกัดเฉพาะ Ubuntu
ข้อจำกัด
- ไฟล์ติดตั้งมีขนาดใหญ่ เนื่องจากเป็นการพก dependency มาในตัว
- โปรแกรมที่มีใน Flathub อาจยังไม่ครบทุกตัว
6. ติดตั้งจาก Source Code (คอมไพล์เอง)
บางครั้งอาจมีโปรแกรมที่ไม่มีอยู่ในคลัง Ubuntu หรือผู้ใช้ต้องการฟีเจอร์พิเศษที่ปรับปรุงโค้ดเอง การคอมไพล์โปรแกรมจากซอร์สโค้ดเป็นวิธีที่ยืดหยุ่นที่สุด แต่ก็ต้องการความเข้าใจเกี่ยวกับการตั้งค่าเครื่องมือคอมไพล์เป็นอย่างดี
ขั้นตอนการติดตั้ง
- ติดตั้งเครื่องมือในการคอมไพล์ เช่น คอมไพล์เลอร์และไลบรารีที่จำเป็น
sudo apt update sudo apt install build-essential
- ดาวน์โหลดซอร์สโค้ดของโปรแกรม (ส่วนมากจะมาเป็น
.tar.gz
หรือ.tar.bz2
) - แตกไฟล์ (ตัวอย่างไฟล์ชื่อ “program-1.0.tar.gz”)
tar -xzvf program-1.0.tar.gz cd program-1.0
- อ่านไฟล์
README
หรือINSTALL
ที่มากับซอร์สโค้ด เพื่อดูคำสั่งพิเศษในการคอมไพล์./configure make sudo make install
- หลังการติดตั้งเสร็จสามารถเรียกใช้งานโปรแกรมได้ทันที (หากติดปัญหา dependency ให้ติดตั้งตามที่โปรแกรมร้องขอ)
ข้อดี
- สามารถปรับแต่งการคอมไพล์ได้ตามความต้องการ
- เหมาะสำหรับผู้พัฒนาโปรแกรมหรือผู้ที่ต้องการฟีเจอร์เฉพาะ
ข้อจำกัด
- ต้องใช้เวลานานกว่า และต้องรู้คำสั่งคอมไพล์
- เสี่ยงติดปัญหา dependency ที่ต้องคอยจัดการเอง
สรุป
ในการติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจใน Linux Ubuntu มีหลากหลายวิธีให้เลือกใช้งาน ดังนี้
- Ubuntu Software Center (GUI) – เหมาะกับมือใหม่ ใช้งานสะดวกผ่านหน้า GUI
- apt/apt-get – วิธีคลาสสิกผ่าน Command Line เน้นความยืดหยุ่น
- dpkg (.deb files) – เหมาะกับไฟล์ .deb ที่ดาวน์โหลดมาเอง
- Snap – ระบบบรรจุแอปแบบ containerized ใช้งานข้ามเวอร์ชันของ Ubuntu
- Flatpak – คล้าย Snap แต่ใช้ Flathub เป็นแหล่งหลัก ใช้ได้ข้ามดิสโทร
- คอมไพล์จากซอร์สโค้ด – อิสระในการปรับแต่ง แต่ต้องมีความรู้ด้านการคอมไพล์
ผู้ใช้งานสามารถเลือกใช้วิธีที่สะดวกและเหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งแบบ GUI ที่ใช้งานง่าย หรือแบบ Command Line ที่ให้ความยืดหยุ่นสูง ตอบโจทย์ผู้ใช้งานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้เริ่มต้นจนถึงผู้เชี่ยวชาญ เมื่อเข้าใจวิธีการติดตั้งโปรแกรมใน Ubuntu อย่างรอบด้านแล้ว ก็จะช่วยให้สามารถบริหารจัดการแพ็กเกจได้คล่องตัวและปลอดภัยมากยิ่งขึ้นครับ!