
การถอนการติดตั้งโปรแกรมและแพ็กเกจ (Packages) ใน Linux Ubuntu
ในระบบปฏิบัติการตระกูลลินุกซ์ (Linux) โดยเฉพาะ Ubuntu ซึ่งเป็นหนึ่งในดิสโทร (distribution) ที่ได้รับความนิยมมาก
การจัดการแพ็กเกจ (package management) ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้การติดตั้ง อัปเดต และถอนการติดตั้งซอฟต์แวร์เกิดขึ้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว
โดยใน Ubuntu มีเครื่องมือหลัก ๆ หลายตัวที่ใช้ในการจัดการแพ็กเกจ ไม่ว่าจะเป็น apt
(Advanced Package Tool), apt-get
, dpkg
,
หรือกระทั่งเครื่องมือจัดการแพ็กเกจแบบใหม่ ๆ อย่าง snap
นอกจากนี้ยังมีคำสั่งเสริมอื่น ๆ อย่างเช่น apt autoremove
,
dpkg -r
, dpkg --purge
ซึ่งทั้งหมดล้วนมีความสามารถในการลบแพ็กเกจรวมถึงไฟล์ที่เกี่ยวข้องทั้งบางส่วนหรือทั้งหมด
ในบทความนี้ เราจะอธิบายเครื่องมือและคำสั่งที่ใช้ในการถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจใน Linux Ubuntu อย่างละเอียด พร้อมทั้งให้เคล็ดลับและวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด (best practices) เพื่อให้คุณสามารถจัดการระบบของคุณได้อย่างเป็นระเบียบและมีประสิทธิภาพ
1. ทำความเข้าใจพื้นฐานระบบจัดการแพ็กเกจใน Ubuntu
Ubuntu ใช้ระบบจัดการแพ็กเกจแบบ dpkg
เป็นแกนหลัก (core) ซึ่งทำหน้าที่ติดตั้ง ลบ และบันทึกข้อมูลเมตาดาตา (metadata) ของแต่ละแพ็กเกจ
ในระดับสูงกว่านั้น Ubuntu ได้นำเอา APT (Advanced Package Tool) มาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของผู้ใช้และผู้ดูแลระบบ
จึงทำให้เรามีคำสั่งอย่าง apt
กับ apt-get
เอาไว้เรียกใช้เพื่อ:
- ค้นหา (search) แพ็กเกจ
- ติดตั้ง (install) แพ็กเกจ
- อัปเดต (update/upgrade) รายการแพ็กเกจ
- ถอนการติดตั้ง (remove/purge) แพ็กเกจ
โดยเมื่อก่อน Ubuntu แนะนำให้ใช้ apt-get
แต่ในเวอร์ชันใหม่ ๆ คำสั่ง apt
ได้ถูกปรับให้มีรูปแบบและการแสดงผลที่เป็นมิตร
และเข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม apt-get
ก็ยังคงใช้งานได้และเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ดูแลระบบ (sysadmin) หรือผู้ใช้ระดับสูง
2. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจด้วย apt
2.1 คำสั่ง apt remove
การถอนการติดตั้งแพ็กเกจบน Ubuntu อย่างง่ายที่สุดคือใช้คำสั่ง
sudo apt remove <ชื่อแพ็กเกจ>
ตัวอย่างเช่น หากต้องการถอนการติดตั้งโปรแกรมชื่อ vlc
ซึ่งเป็นโปรแกรมเล่นวิดีโอและไฟล์มัลติมีเดียยอดนิยม ก็สามารถใช้คำสั่ง:
sudo apt remove vlc
หลังจากกด Enter ระบบจะถามยืนยันอีกครั้ง (โดยอาจจะมีการสรุปรายการแพ็กเกจที่ต้องลบ หรือที่เกี่ยวข้องด้วย) เราสามารถกด Y
(หรือ y) เพื่อตอบตกลงได้เลย เมื่อเสร็จสิ้น apt remove
จะลบไฟล์ตัวโปรแกรม (executables) และไฟล์ส่วนใหญ่ที่ติดมากับแพ็กเกจออกจากระบบ
แต่ ไม่ ได้ลบไฟล์กำหนดค่าคอนฟิก (configuration files) บางไฟล์ที่อาจจะอยู่ใน /etc/ชื่อโปรแกรม/
ซึ่งจะยังคงหลงเหลืออยู่ ทำให้เมื่อคุณติดตั้งโปรแกรมเดิมกลับเข้าไปใหม่ การตั้งค่าต่าง ๆ อาจยังคงอยู่เหมือนเดิมได้
2.2 คำสั่ง apt purge
หากคุณต้องการถอนการติดตั้งโปรแกรม/แพ็กเกจ พร้อม กับไฟล์คอนฟิกต่าง ๆ อย่างสมบูรณ์
(รวมถึงไฟล์ใน /etc
หรือไฟล์คอนฟิกอื่น ๆ) สามารถใช้คำสั่ง:
sudo apt purge <ชื่อแพ็กเกจ>
คำสั่ง purge
จะลบแพ็กเกจออกจากระบบไปทั้งหมด รวมถึงไฟล์กำหนดค่าต่าง ๆ ที่อาจตกค้าง โดยใช้ตัวอย่างเดิม ถ้าต้องการลบ vlc
และคอนฟิกทั้งหมดอย่างสิ้นซาก ก็จะเป็น:
sudo apt purge vlc
การใช้ purge
เหมาะกับกรณีที่คุณต้องการลบโปรแกรมออกจากระบบอย่างถาวร หรือต้องการ “เคลียร์” ร่องรอยทั้งหมดก่อนที่จะติดตั้งใหม่
เพื่อแก้ปัญหาบั๊กหรือปัญหาการตั้งค่าคอนฟิกที่ผิดพลาด
2.3 คำสั่ง apt autoremove
หลังจากที่คุณใช้ apt remove
หรือ apt purge
เพื่อถอนการติดตั้งโปรแกรมแล้ว บ่อยครั้งอาจจะมี “แพ็กเกจที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป”
(orphaned dependencies) ตกค้างอยู่ในระบบ เนื่องจากแพ็กเกจเหล่านั้นถูกติดตั้งมาพร้อมกับโปรแกรมหลัก
แต่เมื่อโปรแกรมหลักถูกลบไปแล้ว มันก็กลายเป็นแพ็กเกจที่ไม่ถูกอ้างอิง (unreferenced packages)
หากต้องการลบไฟล์เหล่านี้ออกจากระบบ เพื่อประหยัดพื้นที่และทำให้ระบบเป็นระเบียบยิ่งขึ้น สามารถใช้คำสั่ง:
sudo apt autoremove
คำสั่งนี้จะค้นหาแพ็กเกจที่ไม่ถูกใช้งาน หรือไม่ได้ถูกอ้างอิงโดยแพ็กเกจอื่น ๆ ในระบบ จากนั้นจะสอบถามยืนยันเพื่อลบออก ซึ่งเป็นวิธีการที่ปลอดภัยและสะดวกในการทำความสะอาดระบบ
3. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจด้วย apt-get
คำสั่ง apt-get
เป็นรูปแบบดั้งเดิมที่อยู่คู่กับ Ubuntu มานาน โดยมีสวิทช์ (option) ที่สอดคล้องกับคำสั่ง apt
เช่นกัน ดังนี้
3.1 คำสั่ง apt-get remove
apt remove
ทุกประการ การใช้งานสามารถพิมพ์:
sudo apt-get remove <ชื่อแพ็กเกจ>
ระบบจะลบโปรแกรมที่เกี่ยวข้องออก แต่จะยังเก็บไฟล์คอนฟิกเอาไว้
3.2 คำสั่ง apt-get purge
apt purge
เหมือนกัน เพียงเปลี่ยนเป็น apt-get
:
sudo apt-get purge <ชื่อแพ็กเกจ>
โดยจะลบทั้งตัวโปรแกรมและไฟล์คอนฟิกต่าง ๆ
3.3 คำสั่ง apt-get autoremove
apt autoremove
คือ
sudo apt-get autoremove
เอาไว้กำจัดแพ็กเกจและไฟล์ที่ไม่ถูกอ้างอิงอีกต่อไป
4. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจด้วย dpkg
แม้ว่า dpkg
เป็นส่วนพื้นฐาน (low-level) ของระบบ
แต่บางครั้งผู้ใช้ขั้นสูง (advanced users) หรือผู้ดูแลระบบต้องการใช้คำสั่ง dpkg
โดยตรง
เพื่อจัดการกับแพ็กเกจอย่างละเอียดมากขึ้น และสามารถแก้ปัญหาเมื่อ apt
หรือ apt-get
ติดปัญหาได้
4.1 คำสั่ง dpkg -r
หรือ dpkg --remove
dpkg -r
(remove) เป็นคำสั่งที่ใช้ลบแพ็กเกจที่ติดตั้งอยู่แล้วออก โดยทำงานคล้ายกับ apt remove
คือจะลบไฟล์ส่วนประกอบของโปรแกรมออก แต่เหลือไฟล์คอนฟิกเอาไว้ ตัวอย่างเช่น:
sudo dpkg -r <ชื่อแพ็กเกจ>
หรือ
sudo dpkg --remove <ชื่อแพ็กเกจ>
4.2 คำสั่ง dpkg -P
หรือ dpkg --purge
ถ้าต้องการลบไฟล์คอนฟิกต่าง ๆ ออกด้วยเช่นกัน ต้องใช้สวิทช์ -P
หรือ --purge
ซึ่งจะทำงานคล้ายกับ apt purge
:
sudo dpkg -P <ชื่อแพ็กเกจ>
หรือ
sudo dpkg --purge <ชื่อแพ็กเกจ>
เมื่อใช้ dpkg
ในการถอนการติดตั้ง คุณอาจต้องใช้คำสั่งเพิ่มเติมเช่น apt --fix-broken install
หากเกิดปัญหา dependencies ขาดหลังจากลบแพ็กเกจบางส่วน
นอกจากนี้ dpkg
ไม่ได้มีระบบ dependency resolution แบบ apt
หรือ apt-get
ดังนั้นคุณจำเป็นต้องระวังและพิจารณา dependencies ที่เกี่ยวข้องด้วยตัวเอง
5. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจแบบ Snap
นอกจากระบบจัดการแพ็กเกจแบบปกติ (dpkg/apt
) แล้ว Ubuntu ยังสนับสนุนแพ็กเกจแบบใหม่ที่เรียกว่า Snap
ซึ่งเป็นรูปแบบแพ็กเกจที่ Canonical (บริษัทผู้พัฒนา Ubuntu) พัฒนาขึ้น Snap มีความเป็นเอกเทศ (isolated) สูง
สามารถรันบนดิสโทรต่าง ๆ ได้ แถมยังอัปเดตอัตโนมัติและต้องการสิทธิ์ (permission) น้อยกว่า
5.1 คำสั่งพื้นฐานในการถอนการติดตั้ง Snap
ในกรณีที่คุณติดตั้งแอปผ่าน Snap (เช่น snap install vlc
) หากต้องการถอนการติดตั้ง คุณสามารถใช้คำสั่ง:
sudo snap remove <ชื่อแพ็กเกจ>
ตัวอย่างเช่น:
sudo snap remove vlc
Snap จะลบแอปดังกล่าวออกทันที รวมถึงข้อมูลหลักของแอปด้วย
5.2 การจัดการช่องทาง (channel) และเวอร์ชัน
Snap มีคอนเซปต์ “channel” สำหรับเลือกเวอร์ชันได้ เช่น stable
, beta
, edge
แต่คำสั่งในการลบก็เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Snap เวอร์ชันใดก็ใช้ snap remove
ได้โดยระบุชื่อแพ็กเกจ
5.3 การลบข้อมูลเพิ่มเติม
บางครั้งแอป Snap อาจเก็บข้อมูลหรือ cache ไว้ในโฟลเดอร์ส่วนตัวของผู้ใช้
ซึ่งตั้งอยู่ในเส้นทาง /home/<username>/snap/<ชื่อแพ็กเกจ>/
หากคุณต้องการลบข้อมูลเหล่านี้ด้วย ให้ตรวจสอบและลบด้วยตนเองหรือย้ายไปเก็บไว้ที่อื่นก่อน
6. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจ Flatpak
แม้ว่า Ubuntu จะโฟกัสไปที่ Snap เป็นหลัก แต่ก็มีผู้ใช้งานจำนวนไม่น้อยที่ติดตั้ง Flatpak ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวิธีในการติดตั้งโปรแกรมแบบ sandboxed ข้ามดิสโทร หากคุณใช้ Flatpak และต้องการถอนการติดตั้งโปรแกรม ก็สามารถใช้คำสั่ง:
flatpak uninstall <ชื่อแพ็กเกจ หรือ App ID>
ตัวอย่างเช่น หากติดตั้งโปรแกรม GNOME Calculator ด้วย Flatpak ชื่อ App ID อาจเป็น org.gnome.Calculator
การถอนการติดตั้งก็จะเป็น:
flatpak uninstall org.gnome.Calculator
นอกจากนี้ Flatpak ยังอาจมีที่เก็บข้อมูล (remote) ได้หลายที่ หากต้องการให้ลบอ้างอิงไลบรารีที่ไม่ใช้แล้ว สามารถใช้:
flatpak uninstall --unused
เพื่อทำความสะอาด Flatpak runtime หรือ SDK ที่ไม่ถูกอ้างอิงจากแอปอื่นอีกต่อไป
7. การถอนการติดตั้งแพ็กเกจผ่าน GUI (Ubuntu Software / Synaptic)
สำหรับผู้ใช้ทั่วไปที่ไม่คุ้นเคยกับการใช้คอมมานด์ไลน์มากนัก สามารถถอนการติดตั้งโปรแกรมผ่าน Ubuntu Software (หรือชื่อเก่า “Ubuntu Software Center”) ซึ่งเป็นโปรแกรมหน้าร้าน (software store) ที่ติดตั้งมาพร้อมกับ Ubuntu ในเวอร์ชันส่วนใหญ่
- เปิดแอป Ubuntu Software
- เลือกแท็บ Installed (หรือ “ติดตั้งแล้ว”) เพื่อดูรายการโปรแกรม
- ค้นหาโปรแกรมที่ต้องการถอนการติดตั้ง
- คลิกปุ่ม “Remove” หรือ “Uninstall” (ในบางเวอร์ชัน) ระบบจะถามรหัสผ่าน (sudo) จากนั้นดำเนินการถอนการติดตั้งให้เสร็จสมบูรณ์
Synaptic Package Manager เป็นอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่เป็น GUI สำหรับจัดการแพ็กเกจแบบละเอียด (ใช้ dpkg
/apt
เป็นแกน)
สามารถค้นหา ติดตั้ง หรือถอนการติดตั้งแพ็กเกจได้ง่ายเช่นเดียวกัน แต่ Synaptic อาจไม่ได้ติดตั้งมาเป็นค่าเริ่มต้น
หากต้องการใช้ ต้องติดตั้ง Synaptic เพิ่ม:
sudo apt update
sudo apt install synaptic
จากนั้นสามารถเปิด Synaptic และค้นหาแพ็กเกจที่ต้องการลบ คลิกขวา เลือก “Mark for Removal” หรือ “Mark for Complete Removal” (คล้ายกับ remove/purge) แล้วกด “Apply” ได้เลย
8. การจัดการคลังแพ็กเกจเสริมหรือ PPA
ในบางครั้งเราอาจติดตั้งแพ็กเกจจาก PPA (Personal Package Archive) ซึ่งเป็นคลังแพ็กเกจเสริมที่ชุมชนหรือผู้พัฒนาอิสระสร้างขึ้น เมื่อคุณต้องการถอนการติดตั้งแพ็กเกจที่มาจาก PPA หรือยกเลิกการใช้งาน PPA นั้น สามารถทำได้โดย:
-
ถอนการติดตั้งแพ็กเกจ ด้วย
apt remove
หรือapt purge
ตามปกติ -
ลบ PPA ออกจากระบบ ด้วยการแก้ไขไฟล์ใน
/etc/apt/sources.list
หรือในโฟลเดอร์/etc/apt/sources.list.d/
ซึ่งมีไฟล์ชื่อที่สื่อถึง PPA ที่เพิ่มเข้ามา เช่นppa:someppa/ubuntu
สามารถลบได้ผ่านคำสั่ง:
หรือจะแก้ไขไฟล์กำหนดเองด้วยตัวแก้ไขข้อความ (text editor) แล้วลบบรรทัดที่เกี่ยวข้องกับ PPA ก็ได้sudo add-apt-repository --remove ppa:<ชื่อ PPA>
หลังจากลบ PPA แล้ว ควรใช้คำสั่ง:
sudo apt update
เพื่อให้ระบบอัปเดตรายการคลังแพ็กเกจอีกครั้ง
9. การยืนยันว่าโปรแกรมถูกลบออกจริงหรือไม่
เมื่อคุณถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจแล้ว บางครั้งอาจสงสัยว่า “จริง ๆ แล้วมันถูกลบไปหรือยัง?” คุณสามารถตรวจสอบโดย:
-
ใช้คำสั่ง which เช่น
หากโปรแกรมถูกถอนการติดตั้งอย่างสมบูรณ์ คำสั่งwhich vlc
which
จะไม่พบเส้นทางใด ๆ -
ใช้คำสั่ง dpkg -l (หรือตัว
grep
) เพื่อกรองชื่อโปรแกรม เช่น
หากไม่มีผลลัพธ์ แสดงว่าไม่มีแพ็กเกจชื่อนี้อยู่ในระบบแล้วdpkg -l | grep vlc
- ลองรันโปรแกรม หากโปรแกรมไม่มีอยู่จริง ระบบจะรายงานว่าหา command ไม่เจอ
เทคนิคการใช้งาน
- สำรองข้อมูล (Backup) ก่อน หากเป็นโปรแกรมสำคัญหรือระบบใช้งานในระดับ Production ควรสำรองข้อมูลก่อนที่จะลบเผื่อกรณีเกิดความผิดพลาด
- อ่านรายละเอียดการลบ ก่อนกดยืนยันในการลบโปรแกรมใด ๆ ควรอ่านรายละเอียดที่ระบบแจ้งเตือนให้ครบถ้วน โดยเฉพาะดูว่ามีแพ็กเกจใดบ้างที่ถูกลบพ่วง (dependencies) เพื่อป้องกันปัญหาการลบโปรแกรมหรือไลบรารีอื่น ๆ ที่ยังต้องใช้งานอยู่
-
ใช้
purge
เมื่อจำเป็น ไม่ควรใช้purge
โดยไม่มีเหตุผลที่แท้จริง เพราะบางครั้งไฟล์คอนฟิกอาจจะมีประโยชน์ในอนาคต หรือเมื่อคุณถอนการติดตั้งและติดตั้งใหม่อาจต้องทำการตั้งค่าคอนฟิกอีกครั้ง -
หมั่นใช้
autoremove
เพื่อให้ระบบสะอาด ปลอดจากแพ็กเกจที่ไม่จำเป็น สิ้นเปลืองพื้นที่เก็บข้อมูล -
ตรวจสอบ Snap/Flatpak
หากคุณพบว่าใช้พื้นที่ดิสก์มาก และไม่รู้ว่ามีแอปบางตัวรันผ่าน Snap หรือ Flatpak หรือไม่
ควรตรวจสอบคำสั่ง
snap list
หรือflatpak list
แล้วค่อยพิจารณาลบหากไม่ได้ใช้งานจริง ๆ -
อัปเดตฐานข้อมูลของระบบ
เช่น ใช้
sudo apt update
สม่ำเสมอ เพื่อให้การติดตั้ง/ถอนการติดตั้งแพ็กเกจเป็นไปได้อย่างราบรื่น
สรุปภาพรวมการถอนการติดตั้งโปรแกรมใน Ubuntu
-
คำสั่งระดับสูง (High-level Commands)
apt remove <ชื่อแพ็กเกจ>
: ลบไฟล์โปรแกรม แต่เหลือไฟล์คอนฟิกไว้apt purge <ชื่อแพ็กเกจ>
: ลบไฟล์โปรแกรมและไฟล์คอนฟิกทั้งหมดapt autoremove
: ลบแพ็กเกจที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป
-
คำสั่งระดับดั้งเดิม (Legacy Commands)
apt-get remove <ชื่อแพ็กเกจ>
apt-get purge <ชื่อแพ็กเกจ>
apt-get autoremove
-
คำสั่งระดับแกนหลัก (Low-level Commands)
dpkg -r <ชื่อแพ็กเกจ>
หรือdpkg --remove <ชื่อแพ็กเกจ>
dpkg -P <ชื่อแพ็กเกจ>
หรือdpkg --purge <ชื่อแพ็กเกจ>
-
Snap
snap remove <ชื่อแพ็กเกจ>
-
Flatpak
flatpak uninstall <ชื่อแพ็กเกจ หรือ App ID>
-
GUI
- Ubuntu Software / Software Center
- Synaptic Package Manager
-
การลบ PPA
sudo add-apt-repository --remove ppa:<ชื่อ PPA>
- แก้ไขไฟล์
.list
ใน/etc/apt/sources.list.d/
การมีระบบจัดการแพ็กเกจที่แข็งแกร่งของ Ubuntu ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตั้ง อัปเดต และถอนการติดตั้งโปรแกรมได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย แต่การใช้คำสั่งใด ๆ ก็ตาม ควรอ่านรายละเอียดหรือตัวเลือก (options) ต่าง ๆ ให้ชัดเจน อีกทั้งควรระมัดระวังการลบแพ็กเกจที่เป็น library หรือ dependencies ของแพ็กเกจอื่น ๆ ที่ยังจำเป็นต้องใช้อยู่ โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมการทำงานจริง (production environment) หรือบนเซิร์ฟเวอร์ที่มีความสำคัญสูง
การถอนการติดตั้งโปรแกรมหรือแพ็กเกจใน Ubuntu อาจดูซับซ้อนในสายตาผู้ใช้งานมือใหม่
แต่เมื่อเราเข้าใจกลไกการทำงานของ apt
หรือ dpkg
แล้ว
จะพบว่ากระบวนการจัดการแพ็กเกจของ Ubuntu มีความยืดหยุ่นสูง อีกทั้งยังมีเครื่องมืออย่าง snap
และ flatpak
ที่เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้งานสมัยใหม่
สิ่งสำคัญคือให้เราจัดการซอฟต์แวร์อย่างรอบคอบและมีระบบ โดยเฉพาะเมื่อถอนการติดตั้งโปรแกรมที่มี dependencies
หรือเป็นส่วนสำคัญของระบบ
สรุปก็คือ หากคุณต้องการถอนการติดตั้งโปรแกรมทั่วไป ให้ใช้คำสั่งสั้น ๆ ง่าย ๆ อย่าง apt remove
หรือ apt purge
แต่ถ้าคุณต้องการจัดการไฟล์คอนฟิกเพิ่มเติมหรือแก้ไขปัญหาเชิงลึก
ก็สามารถใช้คำสั่งระดับแกนอย่าง dpkg
ได้ รวมถึงตรวจสอบ Snap หรือ Flatpak หากติดตั้งผ่านช่องทางเหล่านั้น
สุดท้ายอย่าลืมใช้ autoremove
เพื่อความสะอาดของระบบอยู่เสมอ
ด้วยความรู้และเครื่องมือที่ถูกต้อง คุณจะสามารถรักษาระบบ Ubuntu ของคุณให้อยู่ในสภาพที่เบา รวดเร็ว และเป็นระเบียบได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้ง อัปเดต หรือถอนการติดตั้งโปรแกรมก็ตาม
หมายเหตุ: แม้ว่าบทความนี้จะเน้นไปที่ Ubuntu เป็นหลัก แต่คำสั่งจำนวนมาก เช่น
apt
,dpkg
,snap
,flatpak
ก็สามารถปรับใช้ได้ในดิสโทรอื่นที่มีพื้นฐานมาจาก Debian/Ubuntu หรือมีการรองรับ Snap/Flatpak อย่างแพร่หลายเช่น Linux Mint, Pop!_OS เป็นต้น
เมื่อคุณเข้าใจการถอนการติดตั้งโปรแกรมใน Ubuntu อย่างถ่องแท้แล้ว คุณก็พร้อมที่จะจัดการระบบของคุณได้ด้วยตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ ไร้กังวลเรื่องไฟล์คอนฟิกที่ตกค้าง หรือ dependencies ที่ไม่ได้ใช้งาน เพียงแค่จำให้ขึ้นใจว่า ลบอย่างไร ก็ต้องระวังอย่างนั้น ควรพิจารณาให้ดีก่อนที่จะสั่งลบอะไรเสมอ และหากเป็นไปได้ให้ทำการสำรองข้อมูลไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
ด้วยพื้นฐานทั้งหมดนี้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่กำลังหัดใช้งานลินุกซ์ หรือผู้ที่ต้องการจัดการระบบ Ubuntu ในระดับเชิงลึก ตลอดจนช่วยให้เข้าใจกระบวนการลบติดตั้งแพ็กเกจต่าง ๆ และสามารถแก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทางได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น!